ความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตย์ และ ESD
ความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตย์หรือที่เราเรียกกันว่า “ESD” เป็นคำพูดที่เราคุ้นหูและได้ยินกันบ่อยๆในโรงงานอุตสาหกรรม แต่เรารู้ความหมายหรือไม่ครับว่ามันหมายความว่าอย่างไร และมันมีผลกระทบอะไรบ้าง ณ ปัจจุบันนี้ในหลายๆ อุตสาหกรรม มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้าสถิตย์ เกือบทั้งนั้น ถ้ายกตัวอย่างอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเรา ณ ปัจจุบันและทุกคนใช้มันเป็นประจำทุกวันคือ SMART PHONE กว่าจะทำการผลิตออกมาเป็น Smart Phone ได้หนึ่งเครื่องนั้น ต้องผ่านกระบวนการผลิตมากมายหลายขั้นตอน ซึ่งทราบกันมั้ยครับว่าแทบทุกขั้นตอน ต้องมีการควบคุมเรื่องไฟฟ้าสถิตย์อย่างเข้มงวดกันเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ตัว Chip ประมวลผลซึ่งเป็นหัวใจหลักของ Smart Phone นั้น Mainboard หน้าจอแสดงผล หน่วยความจำ แม้แต่ตัว Adaptor ที่นำมา Charge ไฟ หรือจะเป็นปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ในรถยนต์ก็มีกล่อง ECU ทำหน้าที่เหมือนสมองกลที่คอยควบคุมสั่งการให้ระบบต่างๆทำงาน หรือจะเป็นไฟหน้ารถยนต์ที่เราเห็นเอามาแตกแดดตากฝนกันนี่แหละก็ต้องควบคุมเรื่องไฟฟ้าสถิตย์เช่นกัน ซึ่งปัญหาก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม ในอิเล็กทรอนิกส์ไฟฟ้าสถิตย์ก็จะส่งผลในเรื่องของวงจรไฟฟ้า ในบางอุตสาหกรรมก็จะส่งผลต่อเรื่องความสะอาดของชิ้นงาน แต่ไม่แค่นั้นนอกจากในอุตสาหกรรมแล้วในชีวิตประจำวันก็ยังต้องมาเจอปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ได้อีก เช่น เราไปเดินเที่ยวในห้าง เดินไปเดินมา เดินสวนกับคนข้างหน้าบังเอิญแขนเกิดไปโดนกัน เกิดไฟช๊อต ถ้าเจอนักเลงหน่อยนี่ซวยเลยนะครับ อาจจะมีเรื่องกันได้หาว่าอีกคนเอาไฟมาช๊อตหรือบางครั้งลูกค้าที่ไปใช้บริการในห้างนั้นถึงกับไปร้องเรียนกับทางห้างเลยก็มี ว่าทำไมาเดินมาเที่ยวห้างคุณเนี่ยะไฟดูดตลอดเลย มีไฟรั่วหรือปล่าวฉันจะฟ้องเรียกค่าเสียหายก็มี เอาหละสิครับพอยิ่งเล่าไป เราก็เริ่มจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นแล้วนะครับว่าไฟฟ้าสถิตย์นั้นส่งผลอะไรกับเราบ้าง แล้วไฟฟ้าสถิตย์มีข้อดีมั้ย จริงๆแล้วไฟฟ้าสถิตย์ก็มีข้อดีบ้างในบางอุตสหกรรมและในชีวิตประจำวันอีก เช่นกัน มีทั้งประโยชน์และโทษเลยนะครับ ยกตัวอย่างในอุตสาหกรรมการพ่นสีรถยนต์ เขาจะทำให้ตัวสีนั้นมีไฟฟ้าสถิตย์ก่อนแล้วนำไปพ่นกับตัวถังรถยนต์ เหตุผลที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าเมื่อสีมีไฟฟ้าสถิตย์แล้วตัวเม็ดสีจะวิ่งเข้าไปยึดเกาะกับชิ้นงานได้ดี หรือเรื่องความสวยความงามก็มีนะครับ นั่นคือไดรเป่าผมนั่นเองเขาจะไปสร้างไฟฟ้าสถิตย์ที่ตัวไดรเป่าผมเป็นประจุลบ เนื่องจากโดยธรรมชาติของผมคนนั้นจะเป็นประจุบวก เมื่อเราเป่าผมด้วยไดรชนิดนี้ก็จะช่วยให้ผมเรียบ สวยงาม ดกดำ ฉะนั้นไฟฟ้าสถิตย์ไม่ได้มีแต่โทษนะครับอย่างพึ่งมองเขาเป็นผู้ร้าย ประโยชน์เขาก็มีแต่ที่เรามาอธิบายถึงเรื่องไฟฟ้าสถิตย์ ถ้ามีแต่คุณประโยชน์ ผมก็คงตกงานไปเรียบร้อย งั้นผมขออนุญาติเข้าสู่เนื้อหาเลยนะครับ เดี๋ยวจะเบื่อซะก่อนว่าทำไมน้ำเยอะจัง ไม่มีเนื้อหาเลย อ่านมาตั้งนานแล้ว
จริงๆแล้วถ้าพูดไปไฟฟ้าสถิตย์ ก็คล้ายๆกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่อย่างนึงเหมือนกันนะครับ ว่าแต่คล้ายกันอย่างไรหละ นั่นก็คือ คือการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เราจะได้จำง่ายๆ นะครับ
E=Electro(ประจุไฟฟ้า), S=Static(ค้างอยู่), D=Discharge(ถ่ายเท) ท่องไว้เลยนะครับ “เกิดขึ้น” “ตั้งอยู่” “ดับไป” ฮ่าๆๆๆ (ยังไร้สาระอยู่เหมือนเดิม) แล้วไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง ตัวอย่างก็เช่น
- การเสียดสี เช่น การเดินไปมาบนพรหม
- การแยกจากของวัตถุ เช่น การดึงเทปลอกเทป
- การเหนี่ยวนำ เช่น เอาไม้บรรทัดที่มีไฟฟ้าสถิตไปดูดกับเส้นผม
เมื่อไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้นแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้นแล้ว ใช้ความรู้สึกก็จะผมตั้ง ขนตั้ง อันนั้นเราก็จะรู้แล้วมีไฟฟ้าสถิตย์ แต่เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเท่าไร ในอุตสหกรรมการผลิตที่ต้องควบคุมไฟฟ้าสถิตย์นั้นนั้นจะมีเครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิตย์ที่เรียกว่า Electrostatic field meter เครื่องมือวัดชนิดนี้จะบอกว่ามีไฟฟ้าสถิตย์อยู่กี่โวลท์และมีค่าเป็นประจุ บวก หรือ ลบ ไฟฟ้าสถิตย์นั้นค่าจะมากหรือน้อยนั้นไม่ได้อยู่ว่าจะเป็นประจุบวก หรือลบนะครับ
ยกตัวอย่าง เช่นเราเอาเครื่องมือไปวัดค่าแล้วเจอค่าประจุลบ เราไปทำ Report ส่งหัวหน้างาน เราสรุปไปว่าไฟฟ้าสถิตย์ในโรงงานเราน้อยมากเลยครับมีค่าแค่ –10,000 โวลท์เอง โรงงานเราไม่ต้องดูแลควบคุมอะไรเลยสบายมากครับ ค่าไฟฟ้าสถิตย์ติดลบเป็นหมื่นโวลท์เลยครับ อย่างนี้ไม่ใช่นะครับ เป็นการเข้าใจผิดอย่างมากเลยทีเดียว ไฟฟ้าสถิตย์ถ้าเมื่อใดที่พบค่าเป็น 0 โวลท์ นี่คือค่าที่ต่ำที่สุดของไฟฟ้าสถิตย์แล้วครับ หมายความว่าบนวัตถุหรือชิ้นงานนั้นๆไม่มีไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้นเลย ต่อไปจะมาดูว่าไฟฟ้าสถิตย์นั้นจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับอะไรได้บ้าง ก็มีวิธีการคำนวนง่ายๆ ดังต่อไปนี้ครับ (เริ่มพอมีสาระบ้าง)
- Q(Charge) = C(capacitance) x V(Voltage)
- Q คือ คือประจุ
- C คือ ความสามารถในการเก็บประจุ มีหน่วยเป็น ฟารัด
- V คือ คือศักย์ไฟฟ้า
ในเมื่อเครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิตย์ของเราวัดค่าออกมาเป็น Volt ใช่มั้ยครับ เพราะฉะนั้นค่าจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับ 2 อย่าง คือประจุ และ ความสามารถในการเก็บประจุ ของวัตถุหรือสิ่งของนั้นๆ นั่นเอง วัตถุชิ้นใหญ่ก็จะเก็บประจุได้เยอะ (C มีค่ามาก) เมื่อ Q หรือประจุที่อยู่ในวัตถุเกิดขึ้นตัวหารก็จะมาก ทำให้ Voltage เกิดขึ้นได้น้อย (ตรงนี้ถ้าใครงงๆ ก็พยายามเข้าใจหน่อยละกันนะครับ เพราะผมเองก็งงเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ)เราเริ่มมีความร็ความเข้าใจในไฟฟ้าสถิตย์บ้างแล้ว ฉะนั้นต่อไปก็จะมาดูว่าเราจะหาทางป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง
- ในพื้นที่การผลิตที่ควบคุมไฟฟ้าสถิตย์นั้นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ต้องเป็นวัตถุที่สามารถถ่ายเทประจุไฟฟ้าสถิตย์ได้และหลีกเลี่ยงการนำวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้ามาใช้งาน
- ควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ ให้อยู่ในระดับที่สูง ซึ่งวิธีการนี้อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงสำหรับค่าไฟฟ้าของตัว Chiller
- คนทำงาน อุปกรณ์ เครื่องจักร หรือวัสดุที่อยู่ใกล้หรือสัมผัสเกี่ยวข้องกับสินค้าที่มีความไวต่อการเสียหายจากไฟฟ้าสถิตย์ (ESDS) จำเป็นต้องมีการต่อกราวด์เพื่อป้องกันการสะสมของประจุไฟฟ้าสถิตย์
- ต้องมีการตรวจสอบเกี่ยวกับมาตรฐานการควบคุมและป้องกันไฟฟ้าสถิตย์อย่างต่อเนื่อง
- ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Air Ionizer ในการลดไฟฟ้าสถิตย์ที่เกิดขึ้นกับกระบวนการผลิต
ต่อไปก็จะพูดถึงว่าในกระบวนการผลิตที่ต้องควบคุมปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ หรือ ESD นั้นว่ามีแบบไหนที่จะส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ของเราได้บ้างนะครับ
1. Human Body Model (HBM) คือการเกิดไฟฟ้าสถิตย์บนตัวบุคคล แล้วบุคคลนั้นไปสัมผัสกับตัวผลิตภัณฑ์แล้วเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้าสถิตย์จากคนไปสู่ชิ้นงาน ทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดความเสียหายในทันที หรือ เกิดความเสียหายในภายหลัง
2. Charge Device Model (CDM) คือการเกิดไฟฟ้าสถิตย์บนตัวผลิตภัณฑ์ แล้วบุคคลมาสัมผัสกับตัวผลิตภัณฑ์ แล้วเกิดการถ่ายเทประจุจากชิ้นงานสู่ตัวบุคคล ก็ทำให้เกิดความเสียหายกับผลิตภัณฑ์ได้เช่นกัน
3. Machine Model (MM) คือมีความหมายว่า เรามาตัดสินแบบลูกผู้ชาย ต่อลูกผู้ชายเลย แบบ man man เลย ฮ่าๆๆๆ ยังจะเล่นมุขอีก จริงๆแล้วมันมีความหมายว่า การเกิดไฟฟ้าสถิตย์บนตัวเครื่องจักรหรืออุปกรณ์อื่นๆแล้วเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้าสถิตย์เข้าสู่ชิ้นงาน
ต่อไปเมื่อเรามีความรู้แล้วว่าลักษณะของไฟฟ้าสถิตย์แบบไหนที่จะทำให้ส่งผลเสียต่อชิ้นงานของเรา เราก็ต้องมาป้องกันแก้ไขไม่ให้ไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้น ที่ตัวพนักงาน ชิ้นงาน และบนตัวเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่อยู่รอบๆชิ้นงาน
โดยวิธีการแก้ปัญหาไฟฟ้าสถิตย์นั้นจะมี 4 วิธีหลักๆดังต่อไปนี้
- Grounding วัสดุหรืออุปกรณ์อะไรที่สามารถต่อกราวด์ได้ให้ต่อให้หมด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรต่อได้ผมจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป
- Humidity ให้ควบคุมความชื้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- Shielding การขนส่งหรือขนย้ายผลิตสินค้าต้องมีการ Shield หรือห่อหุ้มผลิตภัณฑ์ด้วยวัสดุป้องกันไฟฟ้าสถิตทุกครั้ง
- Air Ionizer วัสดุหรืออุปกรณ์อะไรก็ตามที่ไม่สามารถปฏิบัติหรือควบคุมให้อยู่ใน 3 หัวข้อแรกได้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่อง Air Ionizer ในการแก้ปัญหาสิครับ
โดยเฉพาะข้อ 4 เลย อันนี้ผมรู้ดีเลยครับ ขาย Ionizer มา 15 ปีแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ เพราะว่าเวลาไปขายของ ไม่พูดถึงข้อ 1-3 เลย ข้ามมาข้อก่อน 4 เลยครับ ไม่งั้นเดี๋ยวขายของไม่ได้ แต่จริงๆแล้วนั้นถ้าเราควบคุมจากข้อ 1-3 ให้ดี และตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ข้อ 4 แทบจะไม่จำเป็นต้องนำมาใช้งานเลยก็ได้นะครับ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็นำมาใช้เถอะครับ ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกใช้งานอยู่หลากหลายรูปแบบไม่ว่า จะมาจาก อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น หรือ กระทั่งจากจีน ก็มีเพียบเลยครับ แล้วแต่จะสะดวก Shopping กันเลยครับ ตามกำลังทรัพย์ที่มี แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบวัดค่า อย่างถูกต้องตามมาตรฐานด้วยนะครับ ปัจจุบัน Standard ที่นิยมนำมาใช้ก็คือ ANSI/ESD S20.20-2021 นะครับ ถ้าอยากรู้เครื่อง Air Ionizer ตรวจสอบวัดค่าอย่างไรก็ลองหาข้อมูลกันดูนะครับในอากู๋มีเยอะแยะครับ แต่ถ้าไม่รู้ ผมรับสอนนะครับ (ขอแอบขายของหน่อยนึงนะครับ อิอิอิ)
การเตรียมพร้อมพื้นที่การทำงานแบบควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ (Electrostatic Protection Area หรือ EPA) ก่อนอื่นการก็จัดเตรียมพื้นที่ทำงานนั้นต้องมีสัญลักษณ์ แสดงว่าพื้นที่นี้เป็นบริเวณพื้นที่ควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ ซึ่งสัญลักษณ์สากลจะเป็นประมาณว่า่มีมือปริศนาอันนึงกำลังจะไปหยิบอะไรสักอย่างแล้วมีเครื่องหมายห้ามมาทับมือไว้ ถ้าไม่เข้าใจก็ดูตามรูปด้านล่างได้เลยนะครับ


https://www.weidinger.eu/en/i/esd-protection-zone-and-protective-measures
และวิธีการที่จะทำให้พื้นที่ของเราสามารถควบคุมและป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ได้ต้องทำอะไรและอย่างไรบ้างมาดูกันเลยครับ
- Grounding วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร พนักงงาน อะไรบ้างที่ต่อกราวด์ได้ต้องต้องกราวด์นั่นเองครับแล้วอะไรบ้างหละที่ต้องกราวด์ ก็ตามรูปก็จะมี คน โต๊ะ เก้าอี้ กล่องใส่งาน รถเข็น ชุดพนักงาน รองเท้า ชั้นวางของ พื้นโรงงาน คีมตัด ไขควง ไม่รู้หมดยัง ถ้าใครหาเจออีกก็แจ้งผมมาหน่อยนะครับ ซึ่งวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้สามารถป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ได้หรือไม่ได้ มองด้วยตาเปล่าได้มั้ย เช่น เราเห็นอุปกรณ์อย่างนึงมีสัญลักษณ์บอกว่าป้องกัน ESD แล้ว OK ใช้ได้ ผ่าน เป็นแบบนั้นได้หรือปล่าว ไม่ได้นะครับ อย่างที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้อะไรที่เรานำมาใช้สำหรับการควบคุมเกี่ยวกับปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ ต้องมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และถูกต้องตามมาตรฐานด้วยนะครับผม เพราะฉะนั้นเราต้องมีเครื่องมือวัดไว้ตรวจสอบว่าอะไรที่สามารถนำมาใช้ในพื้นที่ EPA ได้ และอะไรที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ โดยเครื่องมือที่ไว้ใช้สามัญประจำโรงงานก็มีดังต่อไปนี้นะครับ วัสดุที่นำมาใช้งานสำหรับพื้นที่ควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ได้ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มตั้งแต่ 0 Ω จนไปถึง 1 Giga Ω (0 – 1×109 Ohm) แต่ก็จะมีในส่วนที่เป็นชุดพนักงาน (Static Control Garment) และแพจเกจจิ้งบางตัวที่จะกำหนดไว้ที่ 0 Ω จนไปถึง 100Giga Ω (0 – 1×1011 Ohm) ซึ่งเราจะใช้เครื่องมือวัดที่เรียกว่า ESD Surface Resistance Meter ซึ่งเครื่องมือชนิดนี้จะบอกค่าความต้านทานพื้นผิวของวัสดุนั้นๆ ซึ่งวัดค่าออกมาหน่วยจะเป็น โอห์ม (Ω) ซึ่งค่าความต้านทานจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าวัสดุอุปกรณ์นั้นสามารถ Grounding ได้หรือไม่ หรือเมื่อวัสดุอุปกรณ์ชิ้นนั้นเวลาเกิดไฟฟ้าสถิตย์ขึ้นมาแล้วจะสามารถถ่ายเทประจุออกจากตัวมันไปสู่ระบบกราวด์ได้หรือไม่ ตัวผู้ใช้งานเองก็ต้องมีทราบด้วยนะครับว่าเมื่อวัดค่าออกมาแล้วมีความหมายอย่างไร ซึ่งมาตราฐานทางด้านไฟฟ้าสถิตย์ ณ ปัจจุบันได้แบ่งคุณสมบัติของวัสดุอุปกรณ์ทางด้านไฟฟ้าสถิตไว้ดังต่อไปนี้
- Conductive คือ วัสดุที่มีความต้านทานตั้งแต่ 0 โอห์ม – 1000 โอห์ม สามารถใช้งานในพื้นที่ควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ได้
- Dissipative คือ วัสดุที่มีความต้านทานตั้งแต่ 1000 โอห์ม – 1 Giga โอห์ม สามารถใช้งานในพื้นที่ควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ได้
- Insulative คือ วัสดุที่มีความต้านทานมากกว่า 1 Giga โอห์มขึ้นไป ไม่สามารถนำมาใช้งานในพื้นที่ควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ได้ ยกเว้น ชุด Smock และ Packaging บางชนิดเท่านั้น
ส่วนเครื่องมือวัดที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้แล้วคือเครื่องมือวัด Electrostatic Field Meter นั้นมีหน้าที่เอาไว้ตรวจสอบว่าสนามไฟฟ้าสถิตย์ที่เกิดขึ้นบนวัสดุต่างๆนั้นมีค่าเท่าไรหน่วยที่วัดออกมาจะมีหน่วยเป็น Volt และตัวเครื่องวัดสามารถแสดงค่า บวกและลบ ได้ อย่าลืมนะครับวัดได้ค่าลบไม่ได้หมายความว่าไฟฟ้าสถิตย์น้อยนะครับ ซึ่งในปัจจุบันก็มีการกำหนดค่าเกี่ยวกับเรื่องประจุไฟฟ้าสถิตย์ตามาตรฐาน ANSI/ESD S20.20-2021 ไว้ดังนี้ครับ
- ในระยะที่มากกว่า 30 ซม. จากอุปกรณ์ที่ไวต่อความเสียหายจากไฟฟ้าสถิตย์ (ESDS) มีประจุไฟฟ้าสถิตย์ได้มากกว่า 2,000 โวลท์
- ในระยะที่น้อยกว่า 30 ซม. แต่มากกว่า 2.5 ซม. จากอุปกรณ์ที่ไวต่อความเสียหายจากไฟฟ้าสถิตย์ (ESDS) มีประจุไฟฟ้าสถิตย์ได้ ตั้งแต่ 125 โวลท์ – 2,000 โวลท์
- ในระยะที่น้อยกว่า 2.5 ซม. จากอุปกรณ์ที่ไวต่อความเสียหายจากไฟฟ้าสถิตย์ (ESDS) มีประจุไฟฟ้าสถิตย์ได้ ไม่เกิน 125 โวลท์
- ส่วนวัสดุที่ห้ามนำมาใช้ในพื้นที่ EPA ส่วนใหญ่ ก็จะเริ่มตั้งแต่มากกว่า 1×109 Ohm – เป็นต้นไป ยกเว้น 2 อย่างที่ผมได้แจ้งไว้คือ ชุดและ Packaging บางชนิดที่ใช้เฉพาะในพื้นที่ EPA เช่น เรานำเครื่อง ESD Surface Resistivity Meter ไปวัดโต๊ะทำงานเทียบกับระบบกราวด์ (Point to Ground) แล้วค่าที่วัดออกมาได้ 1.58×109 Ohm อย่างนี้ถือว่าไม่ผ่านมาตรฐานทางด้านไฟฟ้าสถิตย์นะครับ ส่วนวิธีการวัดวัดอย่างไรเข้าอากู๋ได้เลยครับ แต่ถ้าหาไม่เจอผมรับสอนนะครับผม แอบขายของ อีกหน่อยนึง ฮ่าๆๆๆ
และก็จะมีอุปกรณ์บางอย่างที่ผู้ปฏิบัติงานจำเป็นที่จะต้องสวม ใส่ อุปกรณ์เหล่านี้อยู่ตลอดเวลาที่เข้าไปปฏิบัติงาน คือ รองเท้าป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (ESD Footwear), สายรัดข้อมือป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (Wrist Straps Ground Cord) และชุดป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (ESD Garment) เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเข้าไปทำงานควรจะมีการตรวจสอบว่าคุณภาพของอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ในค่ามาตรฐานทางด้านไฟฟ้าสถิตย์ หรือ ESD หรือไม่ ซึ่งปัจจุบันมีระบบที่ทดสอบและบันทึกผล ที่มาช่วยให้ทางผู้ปฏิบัติงานสามารถ ทดสอบได้ก่อนเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ และเก็บบันทึกข้อมูลแบบอัตโนมัติ ช่วยให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับหรือดูรายงานประจำวันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ลดปัญหาจาก Human Error
ซึ่งรายละเอียดทางด้านการควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ ยังมีเนื้อหาและรายละเอียดอีกมากครับ แต่ที่ผมได้เขียนมาเบื้องต้นก็เป็น พื้นฐานที่ผู้อ่านทำความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตย์ได้ในระดับนึง แต่ถ้าต้องการข้อมูลทางด้านไฟฟ้าสถิตย์เพิ่มเติม ทางบริษัท อีเอสดี คอนโทรล จำกัด ยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำนะครับ หรือ อยากจัดอบรม สัมนา ทางด้านไฟฟ้าสถิตย์ ตรวจสอบระบบ ESD ที่ใช้งานอยู่แล้วว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ทางเราก็มีบริการทุกรูปแบบนะครับ ยังไงก็ลองโทรมาคุย มาปรึกษา ตามรายละเอียดการติดต่อที่ได้ลงไว้ใน Website ของบริษัทเราได้เลยนะครับ